ไม่ว่าจะอยู่ในตลาดรูปแบบ B2C หรือในรูปแบบของ B2B นักการตลาดมักจะเลือกใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไปเพื่อปรับให้เข้ากับธุรกิจ ซึ่งต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในความแตกต่างระหว่าง 2 รูปแบบนี้ เพื่อทำการส่งเนื้อหาหรือข่าวสารที่ตรงประเด็นไปในเวลาที่ถูกต้องและเหมาะแก่การเปิดอ่าน

 

ดังนั้น สิ่งที่คุณควรรู้ก่อนที่จะวางแผนส่งแคมเปญการตลาดทางอีเมลออกไปในรูปแบบของธุรกิจถึงธุรกิจ ( B2B ) หรือ ธุรกิจถึงลูกค้า ( B2C ) นั่นก็คือ

 

ความแตกต่างของวงจรการซื้อ

 คุณเคยเห็นคนที่ตัดสินใจซื้อของจำนวนมาก ทันทีหลังจากเปิดอีเมลโปรโมชั่นหรือไม่

แน่นอนว่าคำตอบคือไม่

อันที่จริงด้วยโครงสร้างและธรรมชาติของวงจรการขายแบบ B2B นั้นจะมีความยาวนาน ขั้นตอนการซื้อขายจนเสร็จสิ้นอาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ด้วยแคมเปญอีเมลระยะยาวและขั้นตอนการทำงานที่หลากหลาย ผู้มีอำนาจตัดสินใจอาจต้องใช้เวลาก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนของการสั่งซื้อ ซึ่งมีสิ่งที่คุณควรทำความเข้าใจดังนี้:

  • วงจรการขายแบบ B2B อาจใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์
  • รวบรวมผู้มีอำนาจตัดสินใจไว้ด้วยกัน
  • ต้องจัดทำเนื้อหาหลากหลายประเภท ( การสัมมนาออนไลน์, กรณีศึกษา, หนังสืออิเล็กทรอนิกส์และอื่นๆ เป็นต้น )

อย่างไรก็ตาม แคมเปญอีเมลในรูปแบบของ B2C จะใช้ประโยชน์จากการตัดสินใจที่มีความเร่งด่วนของลูกค้าซึ่งในการขายจะใช้เวลาเพียงเล็กน้อยหรือไม่เกิน 24 ชั่วโมง เช่นดังต่อไปนี้:

  • การเปิดอีเมล
  • การคลิกลิงก์
  • การเข้าชมเว็บไซต์
  • การสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ

 

 

  

การสร้างเนื้อหา

ตามที่กล่าวมาแล้วว่าวงจรการขายแบบ  B2B นั้นใช้เวลานาน จึงเหมาะกับการส่งเนื้อหาที่ไม่ใช่การส่งเสริมการขายหรือโปรโมชั่นที่จำกัดเวลาและเนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษา เช่น อินโฟกราฟฟิค, บล็อก, หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  อีกทั้งในส่วนของกรณีศึกษาและเอกสารเพิ่มเติมยังสามารถสร้างความต้องการแก่ผลิตภัณฑ์ของคุณกับลูกค้าได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์ที่แท้จริงคือเพื่อให้ผู้นัดหมายหรือตัวแทนฝ่ายขายจองการประชุมกับหัวหน้าของคุณไม่ว่าจะด้วยตนเองหรือทางโทรศัพท์ โดยกสนใช้อีเมลจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการสนทนานั้น

วงจรการขายแบบ B2C โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ มีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้รับอีเมลมีการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งบนเว็บไซต์อย่างรวดเร็วและทำให้พวกเขาซื้อสินค้าหรือบริการในที่สุด ซึ่งหากพูดถึงอีเมลของคุณแล้วคือการเน้นในส่วนของปุ่มเรียกร้องให้ดำเนินการและการนำเสนอผลประโยชน์ต่าง ๆ เป็นต้น

 

 

  

ข้อเสนอทางอีเมล

แคมเปญอีเมลในรูปแบบของ B2B ไม่ต้องมีการออกแบบที่ดึงดูดให้ลูกค้าซื้อสินค้า เพราะแคมเปญประเภทนี้จะเน้นที่ข้อมูลและสร้างคุณค่าให้กับข้อมูลมากยิ่งขึ้น

แคมเปญอีเมลแบบ B2B  บ่งบอกถึงความเป็นผู้นำและการสร้างแบรนด์ ดังนั้น ควรระบุข้อมูลการติดต่อให้ชัดเจน

ส่วนแคมเปญอีเมลในรูปแบบของ B2C เป้าหมายคือผู้ซื้อ ซึ่งหมายถึงการออกแบบอีเมลให้น่าสนใจเพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความอยากได้สินค้า ด้วยข้อความที่ถูกต้อง,การแสดงสินค้าและการเรียกร้องให้ดำเนินการ เป็นต้น

 

 

  

ตัวกรองสแปม

สำหรับการตลาดในรูปแบบของ B2B อาจเป็นเรื่องยากที่อีเมลจะลงกล่องจดหมาย เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ได้ตั้งไฟร์วอลล์, ตัวกรองและตั้งค่าความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ที่รัดกุม ตัวอย่าง เช่น การเริ่มวิเคราะห์จากคีย์เวิร์ดก่อนเพื่อพิจารณาว่าการตลาดทางอีเมลนั้นจะไปยังกล่องข้อความหรือในขยะ ดังนั้นนักการตลาดแบบ B2C ที่ใช้การตลาดทางอีเมลจึงต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงค่อนข้างมากเพื่อลดอัตราการร้องเรียนให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

 

 

  

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการส่ง

คำถามที่มีคนกล่าวถึงมากที่สุดที่เกี่ยวกับการตลาดทางอีเมล คือ คำถามเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการส่งอีเมลซึ่งหลายคนกล่าวว่าไม่สำคัญ แต่ความเป็นจริงแล้วระหว่างการตลาดทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกัน

วันที่เหมาะสมในการส่งการตลาดทางอีเมลสำหรับการตลาดทั้ง ในรูปแบบของ B2C และ B2B คือ วันอังคารและวันพุธ

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการส่งอีเมล B2B คือช่วงเวลาทำงาน อย่างไรก็ตามพยายามหลีกเลี่ยงการส่งอีเมลของคุณในตอนเช้าเพราะผู้รับอีเมลอาจจะทำความสะอาดกล่องข้อความอีเมลทั้งหมดที่ได้รับก่อนหน้านี้ แต่นักการตลาดแบบ B2C คิดว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการส่งแคมเปญการตลาดทางอีเมลคือช่วงก่อน 6 โมงเย็น

ควรเผื่อเวลาในการส่งเทสก่อนการส่งออกจริงเพื่อที่คุณจะได้กำหนดเวลาที่ดีที่สุดในการส่งแคมเปญของคุณ

 

 

  

การตอบสนองของผู้รับ

สำหรับอีเมลในรูปแบบ B2B นั้นการตอบกลับนั้นมีความสำคัญมาก ดังนั้น อย่าลืมส่งด้วยอีเมลที่สามารถระบุได้ว่ามาจากบุคคลใดและไม่ใช้ที่อยู่อีเมล “noreply@" ในทางตรงกันข้ามอาจจะเหมาะสำหรับอีเมลแบบ B2C มากกว่าเพราะผู้บริโภคที่จะตอบคำถามกลับมานั้นมีจำนวนที่น้อย  ส่วนอีเมลแบบ B2B ต้องมีการระบุหมายเลขโทรศัพท์และข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่ง เช่นเดียวกับอีเมล แบบ B2C เพื่อให้มีความชัดเจนและเพื่อความง่ายต่อการติดต่อหรือถามคำถามแก่ผู้ส่ง

 

 

  

อีเมลเฉพาะบุคคลและการจัดกลุ่มผู้รับ

เป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับทั้งสองตลาดแต่อาจแตกต่างกันในส่วนของการใช้งาน โดยที่แคมเปญการตลาดอีเมลในรูปแบบ B2C มันจะต้องใช้อีเมลเฉพาะบุคคลโดยแบ่งตามผลิตภัณฑ์ที่ตรงความต้องการของลูกค้า แต่ในส่วนของ B2B การตลาดทางอีเมลมักจะใช้เนื้อหาเกี่ยวการพัฒนาอุสาหกรรม, ข่าวสารของบริษัทถึงจะตรงกับความต้องการของผู้ซื้อมากกว่า

 

 

  

ทริคเกอร์

อีเมลอัตโนมัติจะช่วยให้นักการตลาดแบบ B2C สามารถส่งผู้รับไปยังเว็บไซต์ได้ อย่างไรก็ตามนักการตลาดแบบ B2B ยังคง จะต้องใช้การโทรศัพท์เพื่อให้ได้รับการสื่อสารที่ถูกต้องเพื่อโน้มน้าวให้พวกเขาซื้อสินค้าหรือบริการ

 

 

  

การตลาดแบบอัตโนมัติ

การตลาดทั้งสองแบบใช้ระบบอัตโนมัติในการส่งอีเมลเฉพาะบุคคลเพื่อสร้างรายได้และทำให้จำนวนผู้ที่มีส่วนร่วมกับแคมเปญเพิ่มขึ้น โดยการใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกัน

สำหรับบริษัทในรูปแบบของ B2B จะให้ความสำคัญกับการสร้างผู้ที่มีโอกาสจะมาเป็นลูกค้าและการมีส่วนร่วมของลูกค้าเดิม ซึ่งกลยุทธ์นี้จะนำไปใช้ในการรักษาข้อมูลและการจัดส่งเนื้อหา ในขณะที่นักการตลาดในรูปแบบของ B2C จะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผลิตภัณฑ์, คำแนะนำด้านการบริการและข้อมูลการใช้งานของลูกค้า ซึ่งทั้งสองประเภทนั้นมีเป้าหมายในการเพิ่มรายได้โดยการส่งข้อความที่ตรงประเด็นเพื่อทำให้ธุรกิจของคุณสามารถอยู่ในใจของลูกค้าตลอดไป

 

โพสต์โดย
โพสต์โดย
SENIOR SUPPORT SPECIALIST
มุกเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิค และให้การช่วยเหลือกับลูกค้า มีความสามารถในการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มุกยังมีหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนทีมงานฝ่ายสนับสนุนลูกค้าด้วย เวลาว่างมุกชื่นชอบการท่องเที่ยว และเป็นคนที่มีความสนใจทางด้านแฟชั่น

ขยายธุรกิจของคุณด้วย
อีเมลมาร์เก็ตติ้ง

เริ่มต้นได้ฟรี