เงื่อนไขการใช้ และ นโยบายส่วนบุคคล •
ในปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญและส่งผลกระทบต่อทุกคน เห็นได้จากการโจมตีทางไซเบอร์, สแกมเมอร์ (Scammer), แฮ็กเกอร์ (Hacker) ที่มีจำนวนมากขึ้นและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล |
การละเมิดข้อมูลอาจมีการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า, ความลับของบริษัท และอื่น ๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลและถูกแฮ็กบัญชี คุณมีหน้าที่ปกป้องลูกค้าของคุณในฐานะธุรกิจ ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจทำให้ลูกค้าสูญเสียความไว้วางใจและส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของบริษัท
ผู้ไม่หวังดีสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
ข้อมูลต่าง ๆ ที่รั่วไหลไปสู่ผู้ไม่หวังดีเกิดขึ้นได้ทั้งจากการหลอกถามจากเจ้าของข้อมูลเอง เช่น การหลอกลวง(Phishing) ทางโทรศัพท์, SMS, โซเชี่ยลมีเดีย, อีเมล, เว็บไซต์ปลอม และเกิดขึ้นจากโจรกรรมข้อมูลจากผู้ไม่หวังดี เช่น การแอบติดตั้งโปรแกรมบันทึกการกดแป้นพิมพ์, การใช้โปรแกรมเดารหัสผ่าน, การดักข้อมูลจาก Wi-Fi ที่ไม่ปลอดภัย และในโลกออนไลน์ มีคนร้ายจำนวนมากที่ใช้ประโยชน์จากความไม่รู้ของคนอื่น
ในส่วนของการหลอกลวง(Phishing) เราสามารถป้องกันได้โดยการมีสติไม่คล้อยตามกับสิ่งที่ผู้ไม่หวังดีใช้เพื่อลอกลวง โดยต้องตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนจะตอบหรือให้ข้อมูลกลับไป ทั้งผู้ส่งข้อมูล, เนื้อหา, ที่มา, รวมทั้งรายละเอียดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น ชื่อเว็บไซต์, ลิงก์ URL, โดเมน
และในส่วนของการโจรกรรมข้อมูล สามารถป้องกันได้โดยการอัปเดตระบบและซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ, การติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและมัลแวร์, การใช้ใช้เครือข่ายที่ปลอดภัย การใช้ไฟร์วอลล์, การตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติ ฯลฯ
เราทุกคนจะต้องมีการใช้งานระบบหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ มากมาย เช่น การสมัครใช้อีเมล, แอพพลิเคชั่น, เซอร์วิสทางการเงิน, แพลตฟอร์มที่ใช้สำหรับการทำงาน ซึ่งทุกที่ต่างมีข้อมูลที่สำคัญของเราอยู่ และมีวิธีการให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลของตนเองได้ด้วยวิธีการใช้รหัสผ่าน โดยเป็นวิธีการพื้นฐานสำหรับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ใช้กันมานาน ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาความซับซ้อนของรหัสผ่านให้คาดเดาได้ยากเพื่อให้มีความปลอดภัยมากขึ้นมากขึ้น
การเข้าใช้งาน (Login) ด้วยการใช้ "ชื่อผู้ใช้งานและรหัสผ่าน" ยังคงปลอดภัยหรือไม่?
การใช้รหัสผ่าน (Password) คือระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานในการเข้าถึงข้อมูลและบริการออนไลน์ที่สำคัญต่าง ๆ ที่ใช้กันมานาน แต่ยังอาจเกิดข้อผิดพลาดได้จาก
-
การใช้รหัสที่ไม่ซับซ้อน ควรใช้ความยาวอย่างน้อย 8 ที่ประกอบด้วยตัวอักษรใหญ่ ตัวอักษรเล็ก และตัวเลข
-
การใช้รหัสผ่านที่เดาได้ง่าย เช่น “12345678” หรือ “password”
-
การใช้รหัสผ่านจากข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเดือนปีเกิด, เลขบัตรประชาชน
-
การใช้รหัสผ่านเดิมเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการเปลี่ยน
-
การใช้รหัสเดิมกับทุกแพลตฟอร์ม ทุกเซอร์วิส เนื่องจากหากมีที่ใดที่ทำข้อมูลรหัสรั่วไหล ผู้ไม่หวังดีจะสามารถใช้ข้อมูลมาล็อกอินที่อื่น ๆ ได้
วิธีการที่สามารถป้องกันข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการใช้รหัสผ่านและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานได้ คือการใช้ระบบการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (Two-Factor Authentication) หรือ 2FA ซึ่งมีบริษัทและแพลตฟอร์มจำนวนมากที่ใช้งานระบบนี้ เช่น บริการธนาคารออนไลน์, โซเชียลมีเดีย, บริการคลาวด์ และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดย 2FA จะเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายความปลอดภัย ทำให้มั่นใจว่าระบบได้รับการป้องกันในระดับสูง
การยืนยันตัวตนสองขั้นตอนคืออะไร?
คือระบบที่ต้องให้ผู้ใช้งานยืนยันตัวตน 2 ครั้ง โดยครั้งแรกจะเป็นการใส่ข้อมูลชื่อผู้ใช้งาน (Username) และรหัสผ่าน (Password) ตามปกติ หลังจากนั้นจะมีการขอรหัสผ่านอีกครั้งโดยรหัสผ่านจะถูกส่งไปที่ผู้ใช้งานโดยตรงเพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ใช้งานจริง ๆ ซึ่งสามารถส่งรหัสผ่านได้หลายทาง เช่น การส่งรหัสยืนยันตัวตนผ่านทางอีเมล, SMS หรือ การใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับยืนยันตัวตน เช่น Google Authenticator, Microsoft Authenticator
ข้อดีของการใช้ระบบการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน
1. เพิ่มความปลอดภัย
การใช้ 2FA คือการเพิ่มขั้นตอนการยืนยันตัวตน นอกเหนือจากการใช้รหัสผ่านตามปกติ ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีที่รู้รหัสผ่านไม่สามารถเข้าถึงบัญชีได้หากไม่มีรหัสผ่านชุดที่ 2 ที่จะถูกส่งในรูปแบบ OTP หรือต้องดูรหัสผ่านจากอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับยืนยันตัวตน
2. ป้องกันการโจมตีด้วยโปรแกรมเดารหัสผ่าน
แม้ว่าผู้โจมตีจะรู้หรือเดารหัสผ่านได้ถูกต้อง หากใช้งาน 2FA ยังต้องมีการยืนยันเพิ่มเติมซึ่งผู้โจมตีไม่สามารถเข้าถึงรหัสได้ง่าย ๆ เช่น รหัสผ่านที่ส่งไปยังโทรศัพท์มือถือหรือแอปพลิเคชัน
3. ลดความเสี่ยงจากการฟิชชิ่ง (Phishing)
การโจมตีแบบฟิชชิ่งมักมุ่งหมายให้ผู้ใช้เปิดเผยรหัสผ่าน แต่เมื่อใช้ 2FA จะเพิ่มความยากในการเข้าถึงข้อมูลหรือบัญชีของผู้ใช้ เพราะผู้โจมตีจะยังต้องการข้อมูลหรืออุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อเข้าถึงบัญชี
4. ป้องกันการเข้าถึงจากระยะไกลโดยไม่ได้รับอนุญาต
2FA สามารถป้องกันการเข้าถึงจากผู้ใช้งานที่ไม่รู้จักหรืออุปกรณ์ที่ไม่เคยใช้งาน เนื่องจากผู้ใช้ต้องยืนยันตัวตนจากอุปกรณ์ที่ตนเองถืออยู่ เช่น โทรศัพท์มือถือ
5. ลดผลกระทบจากการโจรกรรมข้อมูล
หากข้อมูลบัญชีรั่วไหล การใช้ 2FA สามารถลดความเสียหายได้ เพราะผู้โจมตีไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือบัญชีโดยใช้รหัสผ่านเพียงอย่างเดียว
6. ใช้งานง่าย
ปัจจุบันมีวิธีการใช้งาน 2FA ที่สะดวกและหลากหลาย เช่น การส่งรหัสผ่านทาง SMS, อีเมล หรือการใช้แอปยืนยันตัวตน เช่น Google Authenticator, Microsoft Authenticator ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องพกอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม
7. สร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้
การใช้ 2FA ช่วยให้ผู้ใช้มั่นใจว่าบัญชีของตนเองได้รับการปกป้องอย่างดีจากการโจมตีและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้รู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้น
ที่ Taxmail เราเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกค้ามากขึ้นด้วย 2FA
ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้ Taxmail มีการปรับนโยบายการใช้บริการ โดยให้ผู้ใช้งานทุกท่านต้องใช้ระบบ 2FA ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเปิดใช้งาน Two-factor authentication โดยดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Google Authenticator หรือ Microsoft Authenticator หรือหากผู้ใช้งานท่านใดไม่ได้เปิดการใช้งานดังกล่าว ระบบจะเปลี่ยนมาเป็นการขอรหัสผ่านทางอีเมลแบบอัตโนมัติ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานทุก ๆ ท่าน
สรุป
ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์มากมายและในแต่ละแพลตฟอร์มจะมีข้อมูลต่าง ๆ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งถูกเก็บไว้ เพื่อปกป้องข้อมูลเหล่านั้นจากผู้ไม่หวังดี การเปิดใช้งาน Two-Factor Authentication คือวิธีการง่ายๆที่ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม
แพลตฟอร์มชั้นนำต่างให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลโดยเพิ่มระบบการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน ซึ่งทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยมากขึ้น และทำให้ผู้ใช้งานเกิดความมั่นใจว่าข้อมูลของพวกเขาจะถูกปกป้องอย่างดีที่สุด
การปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ระบุไว้ในบทความนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบัญชีออนไลน์ของคุณได้อย่างมาก ช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ละเอียดอ่อนนั้นจะไม่หลุดออกไป และคุณจะสามารถก้าวนำหน้าภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา